วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วิธีสมัครเปิดบัญชีเทรดกับ exness
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
10ข้อ ที่ควรจำในการเทรดforex
กฏทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป้นรุปแบบได้ ซึ่งให้กฏเหล่านี้ จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม หาจุดกลับตัว ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย ( moving average) มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หาคุณสามารถเข้าใจและปฏิตามหลักการเหล่านี้ เชื่อว่าคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดด้วยการลงทุนแบบวิเคราะหฺทางเทคนิคได้แน่นอน
เรียน รู้ Chart กราฟ ในระยะยาว โดยเริ่มจาก กราฟ ในระดับเดือน Monthly และ สัปดาห์ ( weekly) ของช่วงเวลา ( Time Frame) หลายๆปี การดูกราฟช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะสามารถทำให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาว ได้อย่างแม่นตรงกว่าการมองกราฟในระยะสั้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว ก็ต้องกลับดูกราฟระยะสั้น ระดับวัน Daily ระดับ ชั่วโมง Hourly การดูแนวโน้มในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เิืกิดข้อผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้นคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศ ทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและระยะยาว ( Middle Term and Long Term )
แนวโน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว(Long Term) ระะกลาง(Middle Term) และระยะสั้น(Short Term) สิ่งแรก คือ คุณต้องรู้ว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ กราฟของช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขั้น ( Up trend) และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง ( Down Trend) หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้กราฟในระดับวันและัสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนในระยะสั้น ให้ใช้กราฟระดับวันและชัวโมง อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้กราฟของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย
วิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อBuy/Long ก็คือจุด ที่ไกล้แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายSell/Short ก็คือ จุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสงสุดของกรอบราคาการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนที่แนวต้าน แนวต้านก็กลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลงอีกนัยนึง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่และเ่ช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่
เทียบอัตราส่วนการขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะ มีการกลีบตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนของแนวโน้ม ของช่วงเวลาก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นลงของแนวโน้มปัจจุบันโดยใช้ อัตรส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขั้นหรือลง 50%ของแนวโฯ้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อนหน้านั้น และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนใจคือ อัตราส่วนของFibonacci 38.2% 61.8 % ดังนั้นเมื่อตลาดมีการพัดตัวในแนวโน้มขาขึ้นจะมีจุดซื้อคืนจุดแรก เมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด
เส้นแนวโน้ม TL เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ต้องคำนึงมีเพียงของเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนกราฟ เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด / 06f ที่อยู่ไกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดที่อยู่ไกล้กัน ราคามักจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนที่กลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หาราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลีี่ยนแปลงแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนที่แตะที่เส้น สาม ครั้ง เป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้มและยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความ สำคัญมากขึ้น
หมายถึงการ เคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย( Moving Average) ซึ่งจะบอกถึงราาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เ้ส้นค่าเฉลี่ยนี้จะแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใด และช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตามเส้่นค้่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำ ลังจะเปลียน รุปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น เพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กัน คือ period 5 , 10 , 20 , 34, 50 , 89 , 100 , 200 โดยทั่วไปแล้วจะจับคู่กันระหว่างเส้นแนวโน้มระยะสั้น และระยาว เส้นแนวโน้มระยะสั้นจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 และ เส้นแนวโน้มระยะยาวจะมากกว่า Period 50 สัญญาณการชื้อ ขาย เกิดขึ้นเมื่อ แนวโน้มระยะสั้นตัดกับแนวโน้มระยะยาว เช่น เส้นแนวโน้ม Period 5 ตัดกับ 50 เมื่อตัดกันแล้ว คุณก็ ซื้อ ด้วยเหตนี้ เส้นแนวโน้มค่าเฉลี่ยจึงเหมาะกับตลาดที่อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือตลาด มีเทรน
Oscillators เป็นเครื่องมือที่ช่วงของขอบเขตอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เป็น เครื่องมือที่วัดการแกว่งของตลาด เหมาะ สำหรับตลาด ที่มีเทรนไม่แน่นอน เป็นดัชนีที่ช่วยบ่งชี้จุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะีี่ที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดจุดกลับตัว Oscillator ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillator เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน70 จะแดงว่ามีการซื้อที่มีมากเกินไป ( Overbought)และต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป ( Oversold) ค่า OB และ OS สำหรับ Stochastic คือ80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 และ 9 สำหรับRSI และ Stochastic ใช้ค่า( 8 3 3 ) ( 14 3 3 ) ( 17 4 8 ) และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจของแต่ละบุคคล สัญญาณการกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Oscillator จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเล่นเกร็ง กำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณในระดับวัน สำหรับยืนยันสัญญาณในรายชั่วโมง
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด(พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ oscillator ไว้ด้วยกัน สัญญาณที่จะซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่าา โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า 0 Zero line สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าเหนือ 0 Zero Line สัญญาณในระดับสัปดาห์ จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD Histogram ซึ่งมาลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่างMACD สองเ้ส้น สามารถส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย
Average Direction Index( ADX) เป็นดัชนี ที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่และเป็นตัวช่ยวัดว่าแนวโน้ม อยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก คงรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเกร็งกำไรระยะสั้นควรใช้ Oscillator ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกใข้เครื่องมือที่เหมาะ สมกับสภาวะตลาด
สัญญาณที่ให้ การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่ เข้ามาซื้อขายใหม่(Open Interest) ทั้ง สอง ตัวนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่างหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขาย อย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจบัน ในแนวโน้มขาขั้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน Open Interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก Open Interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนัั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้น ราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรมีปริมาณซื้อและ Open Interest หนุนอยู่ด้วย
วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
Forex คืออะไร
Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา Forex Market หรือ ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขาย มากกว่า US$ 4 trillion ( 4ล้านล้านดอลล่าร์ ) ต่อวัน เป็นตลาดการเงินที่มี สภาพคล่องสูงมาก ตลาดเปิดทำการซื้อ – ขาย 24 ชั่วโมง ตลอดวันทำการ โดยหยุดทำการซื้อขาย แค่ เสาร์ – อาทิตย์ เท่านั้น
Forex Market คือเป็นตลาดกลางสำหรับธนาคาร ซื่งเริ่มขึ้นในปี 1971 เมื่อการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เปลี่ยนจากระบบตายตัวเป็นแบบลอยตัว ตลาดนี้เป็นการแลกเปลี่ยนโดยคนกลาง ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างสกุลต่างๆ ในอัตรา และวันที่กำหนด
ตลาดของการแลกเปลี่ยนเงินตราในตลาดโลก ได้ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าระหว่างประเทศ และการล้มเลิกอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวในหลายๆประเทศ ในกลางปี 1998 มีปริมาณการแลกเปลี่ยนเงินตรา คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1,982 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน ไม่เฉพาะขนาดของการแลกเปลี่ยนที่เติบโตขึ้น แต่รวมทั้งอัตราของการแลกเปลี่ยนด้วย ในปี 1977 มีปริมาณการทำธุรกรรมประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเข้าสู่หลัก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1992 ซึ่งการเติบโตนี้ ผู้ดำเนินการในการแลกเปลี่ยน สามารถเพิ่มรายได้ขึ้นกว่า 80% ซึ่งมีทั้งสถาบันการเงินและนักลงทุนทั่วไป
จากการพัฒนาขึ้นอย่างมากของคอมพิวเตอร์ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตลาดเป็นอย่างมาก และในการนี้ตัวกลางมืออาชีพได้มีความสำคัญขึ้นอย่างมาก การแลกเปลี่ยนซึ่งเมื่อก่อนต้องขึ้นอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่นั้น ได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเติบโตของตลาดบนอินเตอร์เน็ต ธนาคารได้นำเสนอบริการแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลทั่วไป นั่น หมายความว่าเราสามารถ ซื้อ – ขาย ในตลาด Forex โดยผ่าน อินเตอร์เน็ตนั่นเอง Forex เป็นการซื้อ - ขาย ค่าเงิน โดยเงินที่มีการซื้อขาย ต้องอยู่ในระบบแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งค่าเงินต่างๆ จะมีการจับคู่ ซื้อขาย โดยราคาจะเปลี่ยนไปตามอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินทั้งสอง เช่น ระหว่างเงินยูโร กับ ดอลล่าร์อเมริกา ( EUR/USD ) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบค่าเงินว่า เมื่อเราซื้อยูโร จะขายได้ในราคาดอลล่าร์อเมริกาที่ราคาเท่าไร กำไรที่เกิดจะมาจากอัตราแลกเปลียนที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อดีของตลาด Forex
เป็นตลาดที่มีความคล่องตัวสูงมาก นักลงทุนสามารถถอนเงินทุนหรือกำไรที่ได้จากตลาด Forex ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง นักลงทุนสามารถลงทุนตั้งแต่ 1 USD จนไม่มีจำกัด ตลาด Forex มีการซื้อ - ขาย ตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่เช้าวันจันทร์ - วันศุกร์ เนื่องจากช่วงเวลาทำการของแต่ละประเทศเหลื่อมล้ำกัน คือ... ตลาด ออสเตรเลียเปิด เวลา 05.00 - 13.00 น. , ตลาดญี่ปุ่นเปิด 06.00 - 14.00 น. , ตลาดยุโรป เปิด 13.00 - 21.00 น. , ตลาดสวิสเซอร์แลนด์เปิด 13.00 - 21.00 น. , ตลาด เปิด 14.00 - 22.00 น. , ตลาดอเมริกาเปิด 19.00 - 03.00 น.ของวันใหม่
ปัจจุบันนักลงทุนสามารถทำการซื้อ - ขายผ่านระบบ Internet จึงทำให้สามารถนั่งทำเงินได้อยู่ที่บ้าน หรือทุกๆที่ที่มี Internet
ค่าเงินสกุลต่างๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาด Forex ที่สำคัญ มีดังนี้
Symbol ชื่อสกุลเงิน ชื่อเรียก ประเทศ ตลาด เปิด-ปิด
USD ดอลลาร์ Buck สหรัฐอเมริกา 19.00-03.00
EUR ยูโร Fiber สหภาพยุโรป 13.00-21.00
JPY เยน Yen ญี่ปุ่น 06.00-14.00
GBP ปอนด์ Cable อังกฤษ 14.00-22.00
CHF ฟรังซ์ Swissy สวิสเซอร์แลนด์ 13.00-21.00
CAD ดอลลาร์ Loonie แคนาดา 19.00-03.00
AUD ดอลลาร์ Aussie ออสเตรเลีย 05.00-12.00
เวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน (ค่าเงิน) ตลาดของแต่ละโซนจะเปิด-ปิด คาบเกี่ยวกันตลอดทั้งวัน ทำให้เราสามารถเทรดได้ 24 ช.ม. แต่ช่วงที่เหมาะแก่การเทรดคือช่วง ตลาดยูโร (EUR) เปิด ถึงหลังตลาดอเมริกา (USD) เปิด 4-5 ชม. คือแถบสีแดงด้านบน ประมาณเวลา 13.00 - 24.00 ตามเวลาไทย ปกติจะเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนราคามีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงอื่น การลงทุนคือความเสี่ยง ยิ่งผลตอบแทนเยอะความเสี่ยง ก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย จึงควรศึกษาให้เข้าใจมากๆ ก่อนการลงทุนครับ
การเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ Forex (Foreign Exchange) เป็นชื่อที่ใช้เรียกการซื้อขาย ค่าเงินกันโดยตรง ของตลาดเงินตรา ที่มีมูลค่า $2Trillion (2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อวัน ตลาด Forex มีมูุลค่าการซื้อขายสูงกว่า ตลาดทางการเงินอื่นๆ รวมกัน ถึง 46 เท่า ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ Forex is the world’s most liquid market ในอดีตที่ผ่านมา การซื้อขาย แลกเปลี่ยนค่าเงิน ถูกจำกัดไว้เฉพาะแต่ในแวดวงของธนาคาร และ สถาบันการเงิน ขนาดใหญ่ เท่านั้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ทำให้สามารถพัฒนาระบบการเทรดแบบ Online ที่ยอมให้นักลงทุนรายย่อย ได้มีโอกาสเข้ามาทำการซื้อขาย ค่าเงิน กันได้โดยตรงในตลาด Forex โดย Foreign Exchange เทรดได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง การซื้อขาย สามารถทำได้หลายช่องทางทั้งทางโทรศัพท์และทางระบบ Internet ทำให้มันเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือเวลาใดๆ
สรุปโดยคร่าวๆ การซื้อขาย Forex คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนค่าเงินล่วงหน้าโดยอ้างอิงจากดัชนีราคาหุ้นค่าเงินจากทั่วโลก โดยจะเทรดค่าเงินเป็นคู่ๆ เช่นค่าเงิน EUR/USD เป็นคู่เงินหลักที่เทรดเดอร์นิยมเทรดมากที่สุด ก็เหมือนๆ ซื้อหุ้นในรูปแบบ TFAX หรือ SET index 50 - 100 Future ในไทยอ่ะครับ
แต่ยังมีคำถามเกิดขึ้นมาอีกเรื่อยๆ ผมจึงต้องอธิบายให้เพื่อนนักลงทุนสาย forex หรือมือใหม่ ทำความเข้าใจตรงนี้
มีคนถามว่าทำไมถึงเรียกการเทรด forex ว่าเล่นหุ้น forex ..?
หุ้น มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่เอาคำว่าหุ้นมาเรียก ไว้ข้างหน้า forex ก็คือต้องการสื่อความหมายว่า เก็งกำไรในตลาด forex คล้ายๆ การซื้อหุ้น ถือหุ้นไว้ครับ จึงต้องตั้งคำเรียกว่า หุ้น forex ครับ การลงทุนโดยการเก็งกำไรส่วนต่างในตลาด forex เรียกเต็ม Foreign Exchange แปลไทย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รูปแบบคือเราซื้อ/ขาย ค่าเงินมาถือราคาไว้(เหมือนถือหุ้นประมาณนั้น) ขายคืน เอาส่วนต่าง ส่วนต่างจะได้เป็นกำไร หรืออาจขาดทุน จึงเป็นที่มาว่า เอาคำว่าหุ้น กับ forex มารวมกัน กลายเป็นคำเรียกว่า หุ้น forex นั้นเอง...